NET METERING คือ ระบบหักลบกลบหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ตามจริง จากการผลิตไฟฟ้าที่ได้จากโซลาร์เซลล์หักลบกับไฟที่ใช้จากการไฟฟ้า ซึ่งผู้ใช้ไฟจะจ่ายค่าไฟตามจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่หักลบกันแล้ว
ตัวอย่างการคิดคำนวณ เช่น ปกติใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 5,000 หน่วยต่อเดือน ค่าไฟหน่วยละ 3.99 บาทต่อหน่วย (อัตราค่าไฟไม่เท่ากันตามรอบไตรมาส อ้างอิงจากค่าไฟปัจจุบัน 29/09/23) ดังนั้นจะจ่ายค่าไฟเป็นเงิน 19,950 บาท และติดตั้งโซล่าเซลล์ ช่วยผลิตไฟฟ้าได้ 2,000 หน่วยต่อเดือน ก็หักลบจากการใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าได้เลย คือ 5,000-2,000 = 3,000 หน่วย ดังนั้นจะชำระเงินค่าไฟ 3,000 x 3.99 = 11,970 บาท
ซึ่งปัจจุบัน การคิดค่าไฟของประเทศไทยยังเป็นแบบ Bill Mertering คือการคิดแยกระหว่างค่าซื้อไฟจากการไฟฟ้ากับค่าขายไฟคืนการไฟฟ้า แล้วจึงนำเงินค่าขายไฟคืนมาหักลบกัน เช่นปกติใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 5,000 หน่วย ผลิตไฟจากโซลาร์เซลล์ได้ 2,000 หน่วย นำมาใช้ในบ้านเพียง 1,500 หน่วย อีก 500 หน่วยขายคืนการไฟฟ้าในเรท 2.20 บาทต่อหน่วย เป็นเงิน 1,100 บาท และในเวลาที่โซลาร์เซลล์ผลิตไฟไม่ได้ เช่น เวลากลางคืน เราก็ใช้ไฟจากการไฟฟ้า 3,500 หน่วย คิดเป็นเงิน 13,965 บาท ลบจากที่ขายไฟคืนการไฟฟ้า 1,100 บาท เป็นเงิน 12,865 บาท ซึ่งเป็นวิธีที่จ่ายเงินค่าไฟมากกว่าแบบ NET METERING
ดังนั้นหลายภาคส่วนจึงสนับสนุนให้ประเทศไทยใช้ระบบการคิดค่าไฟแบบ NET METERING เช่นเดียวกับอเมริกา เดนมาร์ก และอีกหลายประเทศ
สรุปข้อดีของระบบ NET METERING
1.ประชาชนสามารถลดภาระค่าไฟ และยังสามารถสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าที่เหลือได้อีกด้วย ประชาชนเข้าถึงสิทธิการเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าใช้เองในบ้าน
2.เปลี่ยนการใช้พลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานสะอาด การใช้ไฟจากการไฟฟ้าจะมาจากพลังงานฟอสซิลซะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นใช้ NET METERING โดยการติดตั้งโซลาร์เซลล์ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ ช่วยโลกของเราได้อีกทางนึง
3.จาก “รวมศูนย์พลังงาน” เป็น “กระจายพลังงาน” จากที่ต้องซื้อไฟฟ้าใช้เพียงอย่างเดียว ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าได้เองจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ทำให้เกิดการกระจายพลังงานอย่างมั่นคงและยั่งยืน