
ตามการวิเคราะห์ของ International Energy Agency (IEA) คาดการณ์ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ แหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าของโลก จะมาจากพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน (หนึ่งในนั้นรวมถึงโซล่าเซลล์) และพลังงานนิวเคลียร์
"We are close to a tipping point for power sector emissions"
เราเข้าใกล้จุดเปลี่ยนของการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษแล้ว
จากคำกล่าวของ Fatih Birol (IEA Executive director)
ภายในปี 2025 หรือปี 2568 IEA คาดการณ์ว่าพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน (รวมถึงโซล่าเซลล์) จะคิดเป็น 35% ของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก แซงหน้าพลังงานจากฟอสซิลหรือถ่านหินที่คาดว่าจะลดลงเหลือ 33% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน
ขณะที่พลังงานนิวเคลียร์จะเติบโตอย่างช้าๆประมาณ 10% ของทั่วโลก และพลังงานจากก๊าซจะคิดเป็น 20%
ณ ตอนนี้ เกือบทุกประเทศพยายามที่จะบรรลุข้อตกลง The Paris agreement เพื่อกำจัดสภาวะโลกร้อน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนเหลือศูนย์ให้ได้ภายในปี 2593
ถึงอย่างนั้นก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เลงร้ายลง ก็ส่งผลกระทบกับการผลิตไฟฟ้าจากลม แสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์)และน้ำ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ได้รับผลกระทบอย่างหนักเมื่อปีที่แล้ว จากภัยแล้งทั่วสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ภัยแล้งยังลดทอนพลังงานนิวเคลียร์ในฝรั่งเศส เนื่องจากโรงงานบางแห่งใช้น้ำจากแม่น้ำเพื่อทำให้เครื่องปฏิกรณ์เย็นลง
สภาพอากาศที่เลวร้ายยังทำให้ผู้คนมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อปรับสมดุลอุณหภูมิ นั่นยิ่งแปลได้ว่าความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้น ในกรณีที่แย่ที่สุด ไฟฟ้าอาจะดับขณะที่อากาศร้อนสุดหรือเย็นจัด
สถานการณ์ที่อุปสงค์และอุปทานการใช้ไฟฟ้าต้องพึ่งพาสภาพอากาศมากขึ้นเรื่อยๆเช่นนี้ เป็นการสร้างแรงกดดันอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงการผลิตไฟฟ้าไปใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนอย่างโซล่าเซลล์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ที่มา : The verge